ในช่วงสัปดาห์กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปดูงานขององค์กรพัฒนาเอกชนทำงานกับคนจนเมืองในประเทศกัมพูชา เห็นวิธีคิดในการแก้ไขปัญหาแบบองค์รวมที่ชัดเจน ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า ซึ่งมองด้วยตาเปล่าอาจไม่เห็น
CCF เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีพันธกิจหลักคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน ซึ่งมีอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่คุณภาพชีวิตเด็กย่อมหนีไม่พ้นคุณภาพของครอบครัวเด็กเอง CCF ที่กัมพูชาจึงต้องทำงานพัฒนาครอบครัวของเด็กและชุมชนไปพร้อมกัน เพราะปัญหาที่ส่งผลมาถึงเด็กนั้นเชื่อมโยงกันเป็นตาข่ายอันซับซ้อน เช่น ปัญหาพ่อแม่ที่ติดยาเสพติด ติดการพนัน ไม่มีงานทำ เป็นคนไร้บ้าน สภาพชุมชนขาดสุขอนามัยที่ดี ไม่มีน้ำสะอาดใช้ บางชุมชนไม่มีไฟฟ้าแม้ว่าจะอยู่ในเมืองหลวง
โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กจึงต้องทำไปพร้อมกับการแก้ปัญหาของครอบครัวและชุมชน เพื่อให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน คือการได้รับการศึกษา มีสุขอนามัยที่ดี เติบโตอย่างภาคภูมิใจในตนเอง ด้วยการได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพอย่างเหมาะสม
กระแสของการทำ CSR ในปัจจุบันคือความคาดหวังที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อจะทำให้17 เป้าหมายไปสู่ความยั่งยืนเป็นจริง แต่การไปถึงจุดนั้นได้ ต้องการการแก้ไขปัญหาอย่างถึงรากถึงโคน จึงไม่ใช่แค่ไปบริจาคเสื้อผ้า บริจาคหนังสือ ให้ทุนการศึกษา ปลูกป่า สร้างฝาย ฯลฯ การมองปัญหาต้องผ่านการวิเคราะห์ และเห็นความเชื่อมโยง จึงไม่ใช่แค่สิ่งที่มองเห็น แต่ต้องเห็นในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วย เพราะรากของปัญหาส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรม ความเชื่อ ความเคยชิน
ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและการทดลอง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนองานวิจัยเรื่องพฤติกรรมการโกงของคนในสังคมไทย แสดงให้เห็นชัดเจนว่าความเชื่อ ค่านิยมมีส่วนสำคัญในการปลูกฝังพฤติกรรมการโกง การแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่การออกกฎหมาย หรือแค่ประกาศค่านิยม 12 ประการ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้
องค์กรธุรกิจที่เลือกประเด็นด้านสังคมในการทำ CSR จึงควรให้ความสนใจในการศึกษาข้อมูลปัญหาเชิงลึกก่อนการดำเนินการ หากหวังที่สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ซึ่งถ้าองค์กรไม่มีความถนัดก็สามารถหาองค์กรพันธมิตรที่มีประสบการณ์เข้ามาเป็นตัวช่วยได้
ในฐานะที่ผู้เขียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทั้งองค์กรธุรกิจและองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ NGOs เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่ามีองค์กรธุรกิจไม่มากนักที่ทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาเอกชน ทั้งๆ ที่องค์กรดังกล่าวหลายองค์กรสามารถช่วยให้งาน CSR มีประสิทธิผลมากขึ้น ขณะเดียวกัน NGOs จำนวนน้อยมากที่เชื่อมต่อกับองค์กรธุรกิจได้ ทั้งๆ ที่หากทั้งสองฝั่งทำงานร่วมกันในฐานะพันธมิตรจะสามารถสร้างพลังในการขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น
เพราะจุดแข็งของ NGOs คือประสบการณ์เชิงลึกที่ทำงานด้านสังคมมายาวนาน ขณะที่องค์กรธุรกิจนอกจากมีทุนในการสนับสนุนแล้ว ยังมีวิธีคิดเชิงระบบ และเครื่องมือในการบริหารจัดการที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น สำนักกิจการเพื่อสังคม บริษัท เบทาโกร ได้นำเอาแนวคิด Productivity ไปใช้ในการทำงานชุมชนที่ตำบลช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายทั้ง NGOs หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานการศึกษา ทำให้สามารถขยายโครงการไปได้ทั่วประเทศ
ในแนวคิด Productivity นั้นเชื่อว่าสาเหตุของปัญหาเหมือนส่วนที่อยู่ใต้น้ำของภูเขาน้ำแข็ง การหาให้พบนั้นต้องใช้เครื่องมือมาช่วยวิเคราะห์ มิฉะนั้นการแก้ปัญหาก็จะไม่มีประสิทธิผลใดๆ ปัญหาต้องได้รับการจัดการก่อน จึงจะสามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่าต่อไป
ในรายงานความยั่งยืนหรือ GRI ก็ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ในการดำเนินการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยตัวชี้วัดมากมาย ตัวชี้วัดเหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้การดำเนินการมีประสิทธิผลอย่างแท้จริง และมองเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ถ้าวันนี้องค์กรกำลังให้ความสนใจเรื่องโลกร้อน โดยเริ่มต้นจากการจัดการขยะ ก็ควรจะรู้ว่าในแต่ละวันคนไทยสร้างขยะมากถึงรายละ 1.1 กิโลกรัม หรือรวมแล้วราวๆ 73,560 ตัน มีในแต่ละปีๆ คนไทยสร้างขยะรวม 27 ล้านตัน ขณะที่คนไทยมีอายุเฉลี่ย 75 ปี แต่ขยะที่สร้างไว้เช่น โฟม ใช้เวลาย่อยสลายมากกว่า 13 ชั่วอายุคน และพลาสติกใช้เวลาในการย่อยสลาย 6 ชั่วอายุคน
การแยกขยะ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้าเราจะแก้ปัญหาขยะ ก็ควรหันมาดูพฤติกรรมการสร้างขยะด้วย เพราะการจัดการแค่สิ่งที่มองเห็นนั้น ไม่เพียงพออีกต่อไป
ที่มา : CSR Talk หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ