25 March 2015

GreenBusinessในปัจจุบันที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มจะหันมาให้ความสนใจหรือ “อิน” ไปกับกระแสเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เราจึงไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยครับว่าประเด็นเรื่องของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของธุรกิจหนึ่งๆหรือที่เรียกว่าเป็นการทำธุรกิจ “สีเขียว” กลายมาเป็นอีกปัจจัยที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้นและจะนำมาประกอบการพิจารณาเพื่อตัดสินใจว่าจะเลือกอุดหนุนสินค้าและบริการของแต่ละบริษัทไปด้วย       อย่างไรก็ดี        เมื่อพูดถึงเรื่องของการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ผู้ประกอบการหลายๆท่านก็มักจะนึกไปถึงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆที่จะนำไปสู่ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น    ต้องมีการลงทุนเป็นเงินจำนวนสูงมากในเครื่องจักรใหม่ที่มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานน้อย เป็นต้น  และในบางกรณี  กิจกรรมเหล่านี้ต้องอาศัยเม็ดเงินลงทุนที่สูงมากจนทำให้จุดคุ้มทุนอยู่ไกลออกไปพอควร   เรียกได้ว่ากว่าธุรกิจจะเป็นสี เขียว ตัวเลขก็เป็นสี “แดง”   กันไปพักใหญ่ๆเลยทีเดียว     ซึ่งผู้ประกอบการหลายๆ  ท่านอาจจะไม่ต้องการลงทุนสูงตั้งแต่แรกหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงได้มากมายขนาดนั้น   แต่เชื่อเถอะครับว่านี่ก็ไม่ใช่วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ธุรกิจเราได้ชื่อว่า “ เป็นธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” หรือ “ธุรกิจสีเขียว” หรอกครับ

อีกวิธีหนึ่งที่ง่ายกว่าแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงทุนเพิ่มเติมมากนัก นั่นก็คือการกลับไปดูขั้นตอนการทำงาน (Process Map) และหาทางขจัดหรือควบคุมไม่ให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างไม่เหมาะสมในระหว่างขั้นตอนการทำงานนั่นเองครับ หรือว่าง่ายๆก็คือการหาทาง “ประหยัด” ทรัพยากรต่างๆที่เราใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าเราใช้มันในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไปจนไปเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมนั่นเองครับ   และแน่นอนครับว่ายิ่งเราควบคุมจุดนี้ได้ดีเท่าไร  นอกจากเราจะสามารถพูดได้เต็มปากว่าธุรกิจของเรานั้นเป็นธุรกิจที่ “เขียว” ขึ้น    ก็ยังช่วยส่งผลให้ต้นทุนรวมของเราต่ำลงจนทำให้สามารถแข่งขันได้อย่างไม่เป็นรองใครด้วยครับ   และเมื่อพูดถึงเรื่องของการขจัดหรือควบคุมไม่ให้เกิดการใช้ทรัพยากรไปอย่างไม่เหมาะสมแล้ว ผมคิดว่าทฤษฎีหนึ่งที่เหมาะมากที่จะนำมาเป็นเครื่องมือในการสแกนธุรกิจเพื่อวิเคราะห์หาจุดที่จะสามารถลดความสิ้นเปลืองได้   ก็คือเรื่องของ MUDA  หรือ The Seven Wastes   ที่ผมได้เคยนำมาคุยกับผู้อ่านทุกท่านในบทความครั้งก่อนนั่นเอง     ถึงตรงนี้ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่าแล้วไอ้ความสิ้นเปลืองต่างๆ   นี่มันมาเกี่ยวอะไรด้วย   มันเกี่ยวโดยตรงเลยล่ะครับ  เพราะสมการง่ายๆ  ของธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จและพัฒนาให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นนั่น ก็คือ

สามารถลดความสิ้นเปลืองที่เกิดขึ้น => ลดต้นทุนรวมในการผลิต => ผลกำไรที่เพิ่มขึ้น

มาถึงตรงนี้  เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นผมจะขอยกตัวอย่างมาประกอบสักหน่อยแล้วกันนะครับ    สมมติว่าผมเป็นเจ้าของโรงงานขนาดเล็กซึ่งผลิตเสื้อยืดย้อมสีขายที่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังให้ลงทุนมากมายนัก ดังนั้น  หากผมต้องการจะพัฒนาให้ธุรกิจของผมเป็นธุรกิจที่สี “เขียว” ขึ้น สิ่งแรกที่ผมจะทำก็คงเป็นการกลับมานั่งพิจารณาขั้นตอนการผลิตปัจจุบันของโรงงานก่อนครับ เพื่อเจาะหาจุดที่เป็นจุดสิ้นเปลืองที่ต้องหาทางขจัดออกไปให้ได้  โดยจุดสิ้นเปลืองเหล่านี้อาจจะอยู่ในหมวดหมู่ต่างๆ ตามทฤษฎี Seven Wastes อาทิ

ผมไปเจอสินค้าคงคลังของเสื้อยืดบางสี บางขนาดที่มีเหลือมากเกินความต้องการซึ่งถือเป็น ความสิ้นเปลืองที่เกิดจากการผลิตจำนวนมากเกินไป ซึ่งอาจจะเกิดจากการคาดการณ์ยอดขายที่ผิดพลาด ดังนั้น   วิธีที่จะช่วยลดความสิ้นเปลืองเหล่านี้ก็คงเป็นเรื่องของการหาวิธีปรับปรุงวิธีการคาดการณ์ต่างๆ   รวมถึงข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการคาดการณ์ให้เหมาะสม   เพื่อเพิ่มความแม่นยำให้มากขึ้นนั่นเอง

การไปส่งสินค้าแบบที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนักในบางเที่ยว เช่น ไปส่งแบบไม่เต็มคันรถ   มีที่เหลือในรถขนส่งอีกมากจากการวางแผนการส่งที่ไม่ดี    ไปส่งผิดที่       หรือเกิดสินค้าเสียหายระหว่างการขนส่ง    ซึ่งถือเป็น ความสิ้นเปลืองที่เกิดจากการขนส่ง นั่นเองครับ   วิธีที่ดีที่สุดก็คือ  เราต้องวางแผนการขนส่งต่างๆ  ในธุรกิจให้ดี   และควรจะคิดหาวิธีลดการขนส่งที่ไม่จำเป็นออกไปอยู่เสมอ   เช่น    การจัดเก็บของที่ต้องใช้ให้อยู่ใกล้กับจุดที่ใช้งานจริง เป็นต้น    ในหลายกรณี   ต้องบอกเลยนะครับความสิ้นเปลืองประเภทนี้นี้ถือเป็นจุดอ่อนของหลายๆบริษัทเลยทีเดียว เพราะต้นทุนการขนส่งในบางธุรกิจนั้นมักจะสูงไม่น้อย

การมีจำนวนเสื้อยืดที่เย็บหรือย้อมเสีย  มีตำหนิ   หรือผิดสเปคจำนวนมากอันถือว่าเป็น ความสิ้นเปลืองที่เกิดจากผลผลิตที่ผิดพลา/เสีย    ซึ่งการจะขจัดหรือควบคุมความสิ้นเปลืองเหล่านี้ให้ดีที่สุด  ก็คือการหมั่นตรวจสภาพเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ในการทำงานให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอเพื่อลดโอกาสที่สินค้าที่ผลิตออกมาจะเสีย  นอกจากนี้  การจัดให้มีขั้นตอนของการเช็คสเปคเสื้อในขั้นตอนต่างๆ   ระหว่างการผลิตก่อนที่การผลิตจะเสร็จสมบูรณ์ก็สามารถลดโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดและสามารถแก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนถึงปลายทางได้ด้วยเช่นกัน

เป็นอย่างไรบ้างครับ    สำหรับอีกหนึ่งวิธีง่ายๆ   ที่จะเปลี่ยนธุรกิจของเราให้เป็นธุรกิจสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้วิธีลดความสิ้นเปลืองที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตแทน    น่าสนใจไม่น้อยเลยนะครับ   หลายๆเรื่องผมว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อนและทำได้ไม่ยากเลย    ซึ่งถ้าหากเราสามารถขจัดความสิ้นเปลืองเหล่านี้ไปได้ล่ะก็    ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจเราเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น    เรายังได้ประโยชน์จากต้นทุนรวมที่ค่อยๆ   ลดลงเป็นผลพลอยได้อีกด้วย  คราวนี้ล่ะครับเรียกว่า “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”  เลยครับ




Writer

โดย พูนลาภ ทิพชาติโยธิน

การศึกษา : จบปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์การบัญชี ภาคภาษาอังกฤษ (BBA) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และปริญญาโทจาก Heriot-Watt University (UK) ในสาขา Logistics and Supply Chain Management
ประสบการณ์ : ปัจจุบันทำงานในตำแหน่ง Merchandise Planning Manager ที่บริษัทเอก-ชัยดิสทริบิวชั่นซิสเท็ม