นับถอยหลังอีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น เราจะทราบว่าใครจะขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ซึ่งในปี 2016 นี้ ถือว่าเป็นปีที่ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนางฮิลลารี คลินตันได้ก้าวขึ้นมา เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ด้วย
ในโลกออนไลน์ได้มีการพูดคุยและวิเคราะห์กันหลายมุมมอง … “อะไรคือนัยสำคัญที่แท้จริงของการเลือกตั้งที่จะได้มาซึ่งประธานาธิบดีหญิงคนแรก?” “มันเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติทางสังคม?”
“บรรดาหญิงสาวที่ไม่เลือกคลินตันถือว่าไม่สนับสนุนเพศเดียวกันหรือไม่ ในทางตรงกันข้ามพวกผู้หญิงจะสนับสนุนเธออย่างไม่ลืมหูลืมตาหรือไม่?” “อะไรที่ทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งคิดว่า เธอมีความเหมาะสมที่จะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา?”
อเมริกาเป็นประเทศที่มีประชากรหญิง ร้อยละ 50 ของจำนวนประชากร ปัจจุบันในรัฐสภาของสหรัฐมีความหลากหลายทางเพศค่อนข้างสูง แต่พบว่ามีสมาชิกที่เป็นเพศหญิงอยู่เพียงร้อยละ 19 (และมีแค่ร้อยละ 6 ที่เป็นผู้หญิงผิวสี) แต่ในปีนี้ จะเป็นปีแห่งโอกาสของผู้หญิงที่จะเข้ามามีบทบาทในตำแหน่งผู้นำระดับชาติมากขึ้น และจะสามารถสร้างความแตกต่างที่แท้จริงสำหรับประเทศในภาพรวม และจากงานวิจัยล่าสุดด้านจิตวิทยา รัฐศาสตร์ และ เศรษฐศาสตร์ พบว่า
- ผู้นำหญิงจะช่วยลดช่องว่างในเรื่องความเสมอภาคทางเพศ
จากงานเขียนของ Esther Duflo นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน MIT ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Science ระบุว่า เพียงมีนักการเมืองหญิงในท้องถิ่นมากขึ้น สามารถเพิ่มแรงบันดาลใจและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในหมู่หญิงสาว โดย Duflo และทีมงาน ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างวัยรุ่นและผู้ปกครอง ประมาณ 8,000 คน ในรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย ที่ซึ่งผู้นำในสภาหมู่บ้านจะต้องมีสมาชิกหนึ่งในสามที่เป็นผู้หญิง
จากการศึกษาพบว่า ในหมู่บ้านที่ไม่เคยมีผู้นำทางการเมืองหญิง ร้อยละ 45 ของ พ่อแม่ มีความคาดหวังน้อย ที่จะให้ลูกสาวและลูกชายได้รับการศึกษาในระดับเดียวกัน และ เด็กสาว ร้อยละ 32 คิดว่าตัวเองมีโอกาสน้อยที่จะมีแรงบันดาลใจเช่นเดียวกับเด็กชาย ส่วนเด็กผู้ชายมีแนวโน้มที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนและมีอัตราการรู้หนังสือสูง โดยภาพของผู้นำหญิงจะทำให้ ผู้ปกครองและเด็กสาว พบว่าผู้หญิงสามารถทำสิ่งต่างๆได้ และในทางตรงกันข้าม ในหมู่บ้านที่มีผู้นำทางการเมืองหญิง เด็กสาวจะมีแรงบันดาลใจในการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น และ ผู้ปกครองก็มีคาดหวังมากขึ้นที่จะให้ลูกสาวได้มีการศึกษาในระดับเดียวกับลูกชาย
จากผลการศึกษาที่ได้ Duflo มองว่า ที่เป็นเช่นนี้ เกิดจากอิทธิพลจากแบบอย่าง การได้เห็นผู้นำหญิง จะชักนำให้พ่อแม่และเด็กสาวเล็งเห็นว่าผู้หญิงสามารถทำสิ่งต่างๆได้ไม่แพ้ผู้ชาย และช่วยเพิ่มความทะเยอทะยานของพวกเขา และ การมีตัวอย่างที่โดดเด่นของผู้นำหญิง ก็ช่วยเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนที่มีต่อความสามารถของผู้หญิง และสร้างแรงบันดาลใจให้หญิงสาวมีความฝันที่ยิ่งใหญ่และตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น
- ผู้หญิงต้องการแบบอย่างที่เป็นผู้หญิง – มากกว่าผู้ชายที่ต้องการแบบอย่างผู้ชาย
การมีตัวอย่างของผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ สามารถยกระดับความคิดเกี่ยวกับตัวเองของผู้หญิงได้ โดยแบบอย่างของเพศเดียวกัน มีความสำคัญสำหรับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในPsychology of Women Quarterly นั่นอาจเป็นเพราะ พวกเขาเติบโตขึ้นมา โดยแวดล้อมไปด้วยภาพความสำเร็จของเพศชาย
จากการทดลองกับนักศึกษามหาวิทยาลัยโตรอนโต โดยให้พวกเขาอ่านแผ่นพับซึ่งอธิบายถึงความสำเร็จของชายและหญิงที่เคยศึกษาในสาขาเดียวกับพวกเขา พบว่าหลังจากที่ผู้หญิงได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพแล้ว พวกเขาจะมีความคิดด้านบวกเพิ่มขึ้น มากกว่าที่ได้อ่านข้อมูลผู้ชายในสายงานเดียวกัน แต่สำหรับนักศึกษาชาย กลับไม่มีความรู้สึกแบบนั้น
- การขาดแคลนแบบอย่างผู้หญิงที่มีอำนาจ นำไปสู่วงจรอุบาทว์
จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Experimental Psychology ชี้ให้เห็นว่าเมื่อผู้หญิงมีต้นแบบแล้ว พวกเขาจะทำงานได้ดีขึ้น
ในการทดลอง ที่มอบหมายให้นักเรียนชายและนักเรียนหญิงขึ้นไปพูดในที่สาธารณะ โดยที่ผนังด้านหลังของห้องที่พูด มี 2 แบบ คือ แบบพื้นที่ว่างเปล่า และ แบบที่มีภาพของ ฮิลลารี คลินตัน หรือ
อังเกลา แมร์เคิล หรือ บิล คลินตัน ติดอยู่ ผลการทดลองพบว่า ผู้หญิงที่พูดในห้องที่ติดภาพของทั้งฮิลลารี คลินตัน และ อังเกลา แมร์เคิล จะพูดได้ดีกว่าคนอื่นๆ และ พวกเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองพูดได้ดีขึ้น ในขณะที่ผู้เข้าร่วมชาย ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างนั้น หรือ ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่ติดอยู่ที่ผนังด้านหลัง
ในทัศนะของผู้เขียนมองว่า การขาดแบบอย่างเพศหญิงที่มีประสิทธิภาพจะนำไปสู่วงจรอุบาทว์ เพราะถ้าผู้นำหญิงล้มเหลวในการทำหน้าที่แล้ว พวกเขาก็จะล้มเหลวในการเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงรุ่นใหม่ด้วย
- ผู้หญิงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น
จากรายงานการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Annual Review of Political Science พบว่า สมาชิกสภานิติบัญญัติหญิงสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพวกเขานำงบประมาณของรัฐบาลกลางมาให้ท้องถิ่นได้มากขึ้น ร้อยละ 9 อีกทั้งยังสามารถเรียกเก็บเงินจากผู้สนับสนุนได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานชาย นั่นอาจเป็นเพราะผู้หญิงต้องทำงานหนักเป็นสองเท่า เพื่อที่จะเอาชนะอคติทางเพศ
จากรายงานการศึกษาใน American Journal of Political Science ผู้เขียนได้แสดงมุมมองว่า ถ้าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมีอคติกับผู้สมัครเพศหญิง จะทำให้มีเพียงผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ และ ทำงานหนักที่สุดเท่านั้น ที่จะได้รับเลือกตั้ง และ ถ้าผู้หญิงรับรู้ว่าในกระบวนการเลือกตั้งมีการเลือกปฏิบัติทางเพศ หรือ ถ้าพวกเขาไม่เชื่อมั่นในคุณสมบัติของตนเอง ต่อไปอาจจะมีเพียงผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด มีความทะเยอทะยานทางการเมืองเท่านั้น ที่จะสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งหากเป็นจริงตามนั้น จะพบว่าในที่สุด จะมีผู้หญิงส่วนน้อยที่มี ความสามารถทัดเทียมผู้ชาย
บริษัทที่มีผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง จะทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ย 42 ล้านเหรียญสหรัฐ และ การเติบโตโดยเฉลี่ยที่ดีกว่า อีกทั้ง การที่มีผู้หญิงเป็นผู้บริหารระดับสูงมากขึ้นนั้น ยังกระตุ้นให้ผู้บริหารหญิงระดับกลางก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น และ ผลการวิจัยต่างๆยังชี้ให้เห็นว่า วิธีหนึ่งที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิง คือ การได้เห็นภาพของตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งที่มีอำนาจ และ ได้เป็นแบบอย่างให้คนรุ่นต่อไป
ในความเป็นจริงแล้วสัดส่วนของผู้หญิงที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำมีค่อนข้างต่ำ แม้ว่าประสบการณ์ต่างๆของพวกเธออาจจะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ชาย แต่ช่องว่างทางเพศยังคงอยู่ และผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะทำงานการเมืองเป็นอันดับแรก และ จากการศึกษาพบว่าเมื่อเทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงส่วนน้อย ที่จะคิดว่าพวกเขามีคุณสมบัติที่จะทำงานในการเมือง และพวกเขายังมีโอกาสน้อยกว่าผู้ชาย ที่จะได้รับการสนับสนุนในด้านนี้ อีกทั้งยังมีความกังวลมากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอคติทางเพศ
จากงานศึกษาหลายชิ้น พบว่า เมื่อพูดถึง “ผู้นำ” คนส่วนใหญ่จะคิดถึงผู้นำที่เป็นผู้ชาย จึงมีแนวโน้มที่จะนำเสนอผู้ชายเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง การมีผู้นำที่เป็นหญิง จะมีความสำคัญในการเปลี่ยนอคติที่ฝังลึกในใจของผู้คน ให้ตรงกับความเป็นจริงที่ว่า ผู้หญิงสามารถเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพได้เท่าเทียมผู้ชาย
ข้อมูลจาก : http://thinkprogress.org/politics/2016/04/29/3772383/science-of-why-electing-women-matters/