เมื่อสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง การศึกษา “แนวโน้ม” หรือ Trends และ “ประเด็นอุบัติใหม่” หรือ Emerging Issues จึงจะช่วยกำหนดทิศทางในการพัฒนาองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนบนโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากกล่าวถึงอนาคต ทุกคนก็จะพูดถึง “แนวโน้ม” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่งที่นักอนาคตวิทยานำมาใช้ในการสร้างแบบจำลอง เพื่อคาดการณ์ทางเลือกในอนาคต ซึ่งแนวโน้มที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องสามารถวัดค่าได้โดยการเก็บข้อมูลในเชิงปริมาณ นำมาจัดทำเป็นกราฟเส้น เพื่อศึกษารูปร่างและทิศทางของเส้นกราฟว่าเพิ่มขึ้น ลดลง หรือ คงที่นั่นเอง
ดังนั้นแนวโน้มคือการเปลี่ยนแปลงของอดีตเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ราคาที่เพิ่มขึ้นของบาร์เรลของน้ำมัน การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้ iPhone และการลดลงของบุคคลที่มีรายได้ปานกลาง ปัจจุบัน พวกเราส่วนใหญ่มีการพูดถึงแนวโน้มราวกับว่า มันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่ๆในอนาคตมากกว่าการอธิบายถึงอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากสมองของมนุษย์มีความสามารถในการสร้างแบบแผนที่สมบูรณ์แบบ เมื่อเห็นกราฟที่มีแนวโน้มดีเล็กน้อย ก็คิดว่าเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่นั้นจะมีแนวโน้มดีขึ้นในอนาคต ทั้งที่เป็นมันเป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่การคาดการณ์อาจไม่ถูกต้อง เพราะมีจุดหักเห หรือเปลี่ยนแปลง จากสาเหตุต่างๆ อาทิ
- แบบจำลองที่ใช้ในการคาดการณ์ไม่ครอบคลุมตัวแปรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
- แบบจำลองที่ใช้ในการคาดการณ์ไม่ครอบคลุมความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรถูกต้องทั้งหมด
- ความสัมพันธ์ในอดีตระหว่างตัวแปรที่ถูกเลือก มีการเปลี่ยนแปลงและทำลายรูปแบบในอดีต
- ประเด็นที่เรากำลังจะสร้างแบบจำลองทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดเดาไม่ได้
หนึ่งในวิธีการที่การศึกษาอนาคตพยายามแก้ไขปัญหาการคาดการณ์แนวโน้มเหล่านั้น คือการมุ่งเน้นเฉพาะบางส่วนของการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจมีบทบาทในการบิดเบือนหรือทำลายแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า “ประเด็นอุบัติใหม่”
Emerging Issues
จากภาพ s-curve จุดที่เริ่มส่งสัญญาณอ่อนๆ นั้น คือ การระบุประเด็นอุบัติใหม่ ซึ่งถ้ายังเป็นประเด็นอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีมหาวิทยาลัย หรือ ศูนย์วิจัยนำไปศึกษา ทำให้บางเรื่องอาจจะค่อนข้างแน่นอน เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีบางเรื่อง/ชิ้นส่วนบางอย่าง อยู่ระหว่างการทดลองในห้องปฏิบัติการที่ไหนสักแห่ง หรือมีการอภิปรายหรือพูดถึงเรื่องนั้นจากนักการเมืองหรือนักคิดบางท่าน สำหรับบางเรื่องที่มีข้อมูลน้อยแต่ถ้าน่าสนใจและมีโอกาสเป็นไปได้ ก็จะมีการติดตามพัฒนาการของเรื่องนั้น อย่างไรก็ตามประเด็นอุบัติใหม่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคต ตัวอย่างของประเด็นอุบัติใหม่ เช่น องค์กรอัตโนมัติที่ใช้ซอฟแวร์และหุ่นยนต์แทนมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของสถาบันการศึกษาแบบดั้งเดิมจากบทบาทการนำของคนรุ่นใหม่อย่าง Millennial generation สิทธิความเป็นพลเมืองของหุ่นยนต์ และการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมของหุ่นยนต์ เป็นต้น
จะเห็นว่า นักอนาคตวิทยาใช้ทั้ง “แนวโน้ม” และ “ประเด็นอุบัติใหม่” ในงานของพวกเขา เพื่อพยายามจะทำความเข้าใจและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในสังคม ซึ่งทั้ง 2 คำมีความสำคัญในการสร้างแบบจำลองอนาคตและบ่อยครั้งที่ถูกใช้ร่วมกัน ทั้งที่มันมีความแตกต่างกันมากไม่ว่าจะเป็นวิธีคิด และวิธีจัดการ
ที่มา : https://visionforesightstrategy.wordpress.com/2016/04/03/trends-vs-emerging-issues-what-is-the-difference/