Prakash Javadekar รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศอินเดียเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาแล้วควรเพิ่มภาษีในการผลิตถ่านหิน ที่จะช่วยเพิ่มเงินกองทุนหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ต่อปี สำหรับนำไปช่วยประเทศที่ยากจนรับมือกับกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
ข้อตกลงด้านการเงินกองทุนเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของการเจรจาสถานการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศปารีสเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากสี่ปีที่เคยมีการเจรจาเกิดขึ้น และ Prakash Javadekar กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ”ประเทศร่ำรวยล้มเหลวในเรื่องการต่อรอง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น อินเดียยังคงพยายามในเรื่องนี้”
อินเดียมีความต้องการส่งออกถ่านหินเพิ่มเป็นสองเท่าในปี 2020 และในเดือนกุมภาพันธ์ได้ขึ้นภาษีการทำเหมืองแร่ถ่านหินเป็น 6 ดอลล่าร์ ต่อตันจากเดิม 1 ดอลล่าร์ต่อตัน โดยเป็นการเสนอราคาที่จะทำให้ถ่านหินมีราคาแพงกว่าการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่สกปรก
Javadekar กล่าวว่า “ภาษีของอินเดียสูงที่สุดในโลกและประเทศที่พัฒนาแล้วควรที่จะปฏิบัติตาม”
“ถ้าพวกเขาทำตามอินเดียและจัดเก็บภาษีในการผลิตถ่านหิน 5 – 6 ดอลล่าร์ต่อตัน เงินจำนวน หนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ ก็จะสามารถระดมมาได้อย่างง่ายดาย” Javadekar กล่าวในการให้สัมภาษณ์ ณ กรุงนิวเดลี ” และจะทำให้ในวันนี้มีเงินหนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์ ที่พร้อมจะนำไปใช้ได้ แม้ในประเทศเช่นอเมริกาก็จะได้เงินถึงสามพันล้านดอลล่าร์ ”
และสัปดาห์นี้ Javadekar จะเดินทางไปยังนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จีนและประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจอื่นๆ เพื่อการยินยอมทำตามข้อตกลงปารีสอย่างเป็นทางการ
ข้อตกลงคือการเสนอนำเงินกองทุนประจำปีจำนวนหนึ่งแสนล้านดอลล่าร์ เพื่อช่วยประเทศที่ยากจน เช่น อินเดียเพื่อใช้ต่อสู้กับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อินเดีย เป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากจีน คิดเป็นร้อยละ 17 ของประชากรของโลก แต่มีการใช้ถ่านหินต่อหัวน้อยกว่าสหรัฐอเมริกา ขณะที่สหรัฐอเมริกากำลังลดการใช้ถ่านหิน อินเดียก็กำลังมุ่งมั่นตั้งใจที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน
การดัดแปลงพันธุกรรมพืช
Javadekar เป็นผู้รับผิดชอบในการทบทวนตรวจสอบการใช้งานบนแอปพิเคชั่นการดัดแปลงพันธุกรรมพืช ได้กล่าวว่า “กระทรวงของเขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้มีการเปิดตัวในเชิงพาณิชย์ที่พัฒนาโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดีย”
เขากล่าวว่า “รัฐบาลได้มีการจัดประชุมในเรื่องนี้แล้วสามครั้งในสี่เดือนที่ผ่านมา” โดยอินเดียไม่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม แต่ผู้ที่ให้การสนับสนุนในเรื่องนี้บอกว่ามันให้ผลผลิตสูงและสามารถลดการนำเข้าน้ำมันพืชในแต่ละปีของอินเดียได้มากกว่าหนึ่งหมื่นล้านดอลล่าร์
javadekar กล่าวว่า “เรากำลังพิจารณาถึงประเด็นนี้อยู่ แต่ความปลอดภัยของอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญพื้นฐานของคนอินเดีย ซึ่งทุกประเทศก็จะตัดสินใจตามนโยบายแห่งชาติของตนเอง โดยเราจะไม่หยุดการพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์”
ข้อมูลจาก : http://www.eco-business.com/news/india-calls-on-developed-world-to-tax-coal-for-climate-fund/