เปลี่ยนแรงกดดันเป็นพลังสร้างสรรค์ (Transform Pressure into Passion)
ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่แวดล้อมไปด้วยสารพัดปัญหาทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ตลอดจนหน้าที่การงานที่ทุกคนเผชิญอยู่ สร้างแรงกดดันในที่ทำงาน (workplace pressure) การรับมือกับแรงกดดันในที่ทำงานถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับคนทำงานทั่วไป โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมและการขับเคลื่อนทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำความรู้จักกับประเภทของแรงกดดันและวิธีที่มันแสดงออกสามารถช่วยให้ทุกคนรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้นและเปลี่ยนมันให้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อการเติบโตได้ในที่สุด โดยเราอาจจำแนกแยกแยะแรงกดดันในที่ทำงานออกเป็นประเภทต่างๆเพื่อทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น พร้อมตัวอย่างประกอบ ดังนี้
- Performance Pressure แรงกดดันในการทำงานอันเกิดจากความต้องการที่จะตอบสนองความคาดหวังของหน่วยงาน การบรรลุเป้าหมาย และความพยายามที่จะรักษาผลงานให้อยู่ในระดับที่คาดหวัง ได้แก่
- การทำงานให้ทันตามกำหนดเวลา (Meeting deadlines) พนักงานมักจะต้องทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดซึ่งแน่นอนย่อมทำให้เกิดความเครียดอย่างมาก
- รักษามาตรฐานด้านคุณภาพไว้ให้ได้ (Quality standard) การทำงานให้ได้มาตรฐานคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกแหล่งหนึ่งของแรงกดดัน
- ทำให้ได้ตามตัวชี้วัดผลงาน (Productivity Metrics) การบรรลุเป้าหมายผลผลิตที่ตั้งไว้ เช่น เป้าหมายการขาย การลดต้นทุน หรือการผลิตให้ตรงกับความต้องการ เพิ่มแรงกดดันในการทำงาน
>> เทคนิคการจัดการ 🪄
- ใช้เครื่องมือช่วยจัดการเวลา (Time Management Tools) อาทิ ตารางแผนงาน, ปฏิทิน และซอฟต์แวร์จัดการโครงการเพื่อจัดระเบียบงานและกำหนดเส้นตายที่เป็นจริง
- แบ่งงานเป็นขั้นตอนเล็กๆ (Break Tasks into Smaller Steps) โดยแบ่งโครงการใหญ่เป็นส่วนย่อยๆ ที่จัดการได้ง่ายเพื่อลดความรู้สึกหนักใจ
- ตั้งลำดับความสำคัญ (Set priorities) มุ่งเน้นไปที่งานที่มีความสำคัญสูงก่อนและจัดการงานที่มีความสำคัญน้อยทีหลัง
>> วิธีการผ่อนคลาย 🧘♀️
- การฝึกสติและการทำสมาธิ (Mindfulness and Meditation) ฝึกการมีสติหรือการทำสมาธิเพื่อให้ใจสงบและมีสมาธิ
- พักผ่อนอย่างสม่ำเสมอ (Regular Breaks) พักผ่อนช่วงสั้นๆ เป็นระยะ เพื่อฟื้นฟูและป้องกันความเหนื่อยล้า
- การหายใจลึกๆ (Deep Breathing Exercise) ฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อลดความเครียดทันที เดี๋ยวนี้นาฬิกาประเภท smart watch ก็มีฟังก์ชันนี้ที่สามารถตั้งเตือนให้เราได้หยุดพักฝึกหายใจแบบได้เป็นระยะ
>> เปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงบันดาลใจ 🌟
- ตั้งเป้าหมายส่วนตัว (Set Personal Goal) ปรับงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตส่วนบุคคลเพื่อหาความหมายในงาน
- ฉลองความสำเร็จเล็กๆ (Celebrate Small Wins) ยอมรับและให้รางวัลตัวเองเมื่อบรรลุเป้าหมาย เพื่อเพิ่มแรงบันดาลใจ
- ขอความคิดเห็น (Seek Feedback) ใช้ความคิดเห็นคนรอบข้างเป็นเครื่องมือในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเติบโตในอาชีพ
- Role Ambiguity and Overload ความไม่ชัดเจนในบทบาทหน้าที่ที่ได้รับและภาระงานที่เกินกำลัง เกิดขึ้นเมื่อพนักงานไม่แน่ใจเกี่ยวกับความรับผิดชอบในงานของตนหรือรู้สึกว่าภาระงานท่วมท้นล้นตัวเกินไป ได้แก่
- คำบรรยายงานที่ไม่ชัดเจน (Unclear Job Descriptions) เมื่อพนักงานไม่แน่ใจเกี่ยวกับหน้าที่ที่เฉพาะเจาะจงของตน อาจทำให้เกิดความสับสนและความเครียด
- ภาระงานมากเกินไป (Excessive Workload) การรับผิดชอบงานมากกว่าที่สามารถจัดการได้ในเวลาทำงานจำกัด อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า
- การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) การทำงานหลายอย่างหรือหลายโครงการควบคู่ขนานพร้อมกัน โดยไม่มีลำดับความสำคัญที่ชัดเจนสามารถเพิ่มระดับความเครียดได้
>> เทคนิคการจัดการ 🪄
- ขอคำชี้แจง (Seek Clarification) สื่อสารกับหัวหน้างานเพื่อกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน
- มอบหมายงาน (Delegate Tasks) เมื่อเป็นไปได้ มอบหมายงานเพื่อลดภาระงานและมุ่งเน้นที่หน้าที่หลักก่อน
- จัดระเบียบการทำงาน (Organize Workflow) ใช้เครื่องมือช่วย อาทิ รายการงานและแผนผังการทำงานเพื่อมองเห็นและจัดการงานได้ดีขึ้น
>> วิธีการผ่อนคลาย 🧘♀️
- สร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) รักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวโดยการกำหนดขอบเขตระหว่างงานและเวลาส่วนตัว
- การออกกำลังกาย (Exercise) ยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยลดความเครียดและปรับปรุงสุขภาพโดยรวม
- งานอดิเรก (Hobbies) หางานอดิเรกที่ชอบและทำมัน เชื่อเถอะมันเป็นกิจกรรมที่นำความสุขและการผ่อนคลายมาให้
>> เปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงบันดาลใจ 🌟
- พัฒนาทักษะ (Skill Development) ถ้าเป็นไปได้มองความไม่ชัดเจนของบทบาทเป็นโอกาสในการเรียนรู้ทักษะใหม่และขยายความเชี่ยวชาญของคุณ
- โอกาสในการสร้างนวัตกรรม (Innovation Opportunities) ใช้ความท้าทายจากภาระงานเป็นโอกาสในการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมและหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำงาน
- ทัศนคติเชิงบวก (Positive Mindset) ยอมรับการท้าทายให้เป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนา
- Interpersonal Pressure แรงกดดันจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้อง ความเครียดที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือลูกค้า ได้แก่
- ความขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน (Conflict with Colleagues) บุคลิกภาพส่วนตัว ความคิด คำพูดและการวางตัวกับเพื่อนร่วมงานสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตึงเครียด
- ความคาดหวังจากหัวหน้างาน (Expectations from Supervisors) ความคาดหวังสูงหรือการควบคุมที่เข้มงวดจากหัวหน้างานสามารถเพิ่มความเครียดให้กับพนักงาน
- ความต้องการจากลูกค้า (Customer or Client Demands) การต้องพบเจอและรับมือกับลูกค้าที่มีความต้องการสูงสามารถทำให้เกิดความเครียดได้
>> เทคนิคการจัดการ 🪄
- การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ (Effective Communication) พัฒนาทักษะการสื่อสารเพื่อแก้ไขและยุติปัญหาความขัดแย้ง
- ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ฝึกความเห็นอกเห็นใจเพื่อเข้าใจและจัดการกับมุมมองของเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน
- การฝึกแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolution Training) เข้าร่วมการอบรมหรือฝึกฝนเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้ง การรับมือกับข้อร้องเรียนของลูกค้า และการทำงานเป็นทีม
>> วิธีการผ่อนคลาย 🧘♀️
- การสนับสนุนทางสังคม (Social Support) สร้างเครือข่ายการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อน และครอบครัวเพื่อแบ่งปันปัญหาและขอคำแนะนำ
- การฟังอย่างมีสติ (Mindful Listening) ฝึกการฟังอย่างมีสติเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์และลดความเข้าใจผิด
- เทคนิคการผ่อนคลาย (Relaxation Techniques) เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น โยคะหรือไทเก็กเพื่อลดความเครียดและเพิ่มความชัดเจนทางจิตใจ
>> เปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงบันดาลใจ 🌟
- การสร้างทีม (Team Building) เข้าร่วมกิจกรรมสร้างทีมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและความร่วมมือ
- การเป็นที่ปรึกษา (Mentorship) สร้างภาวะผู้นำโดยเป็นที่ปรึกษาเพื่อแบ่งปันความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
- การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก (Positive Interactions) มุ่งเน้นที่การสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกและสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุน
- Change-Related Pressure แรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม ความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับการพัฒนาใหม่ ๆ ในที่ทำงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร หรือการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้แก่
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี (Technological Advancement) การต้องคอยติดตามซอฟต์แวร์ เครื่องมือ หรือเครื่องจักรใหม่ ๆ อาจทำให้พนักงานรู้สึกหนักใจ
- การเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร (Organizational Change) การปรับตัวให้เข้ากับการปรับโครงสร้างบริษัท นโยบายใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารสามารถทำให้เกิดความวิตกกังวล
- การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Lifelong Learning) ความจำเป็นในการแสวงหา พัฒนา และต่อยอดทักษะและความรู้ตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับตลาดงาน ก็เพิ่มแรงกดดันให้กับพนักงานอีกทางหนึ่ง
>> เทคนิคการจัดการ 🪄
- เท่าทันสถานการณ์ (Stay Informed) ติดตามข่าวสาร แนวโน้มและความก้าวหน้าในอุตสาหกรรมอยู่เสมอ
- การฝึกความยืดหยุ่น (Adaptability Training) เข้าร่วมโปรแกรมการฝึกที่เสริมสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว
- การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Learning) มีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องผ่านหลักสูตรฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติ และสัมมนา
>> วิธีการผ่อนคลาย 🧘♀️
- เวลาในการปรับตัว (Adaptation Time) ให้เวลาตัวเองปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แทนที่จะเร่งรัดให้ทันทุกการเปลี่ยนแปลง
- กิจกรรมสร้างสรรค์ (Creative Outlets) ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพ การเขียน หรือการเล่นดนตรีเพื่อแสดงออกและลดความเครียด
- การสัมผัสธรรมชาติ (Nature Walks) ครั้งสุดท้ายที่คุณได้ออกไปเดินหรือใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติคือเมื่อใด ถ้าคิดว่าห่างไกลเหลือเกิน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องจัดสรรเวลาเพื่อผ่อนคลายและฟื้นฟู
>> เปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงบันดาลใจ 🌟
- ยอมรับการเปลี่ยนแปลง (Embrace Change) มองการเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการเติบโตและสร้างนวัตกรรม
- ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) พยายามคิดนอกกรอบเพื่อค้นหาวิธีการใหม่ๆ และทดลองปรับปรุง
- การพัฒนาทักษะ (Skill Enhancement) ใช้ความจำเป็นที่จะต้องมีทักษะใหม่เป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพูนความสามารถและรักษาความสามารถในการแข่งขัน
- Economic and Job Security Pressure แรงกดดันทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในอาชีพ มีผลอย่างมากต่อความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงในงานและความเป็นอยู่ทางการเงิน ได้แก่
- ความไม่มั่นคงในงาน (Job Insecurity) ความกลัวว่าจะตกงานเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำหรือการเลิกจ้างในบริษัทสามารถทำให้เกิดความเครียดอย่างมาก
- แรงกดดันทางการเงิน (Financial Pressure) ความกังวลเกี่ยวกับเงินเดือน สวัสดิการ และการปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินส่วนบุคคลมีส่วนทำให้เพิ่มระดับความเครียดโดยรวม
- ความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Advancement) แรงกดดันในการก้าวหน้าในอาชีพและรักษาความมั่นคงในการทำงานอาจทำให้เกิดความวิตกกังวล โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง หรือแม้แต่กระแสข่าวที่ว่า AI จะมาทำงานแทนคน
>> เทคนิคการจัดการ 🪄
- การวางแผนการเงิน (Financial Planning) สร้างแผนการเงินส่วนบุคคลเพื่อจัดการรายจ่ายและการออมอย่างมีประสิทธิภาพ
- การพัฒนาอาชีพ (Career Development) ลงทุนในการพัฒนาอาชีพเพื่อปรับปรุงความมั่นคงในการทำงานและอนาคต
- การสร้างเครือข่าย (Networking) สร้างเครือข่ายอาชีพเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานและการสนับสนุนในอาชีพ
>> วิธีการผ่อนคลาย 🧘♀️
- การฝึกสติ (Mindfulness Practices) ฝึกสติในการทำงานเพื่ออยู่กับปัจจุบันและลดความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต
- การให้คำปรึกษาทางการเงิน (Financial Counseling) ขอคำปรึกษาทางการเงินหรือคำแนะนำในการจัดการแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อรักษาสภาพคล่อง
- กลุ่มสนับสนุน (Support Groups) เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหรือชุมชนที่เผชิญกับความท้าทายคล้ายกันเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และขอคำแนะนำ
>> เปลี่ยนแรงกดดันเป็นแรงบันดาลใจ 🌟
- วิสัยทัศน์ในอาชีพ (Career Vision) พัฒนาเส้นทางในอาชีพที่ชัดเจนและตั้งเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้เพื่อรักษาแรงจูงใจไว้
- การเรียนรู้เชิงรุก (Proactive Learning) ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจเป็นแรงผลักดันในการเรียนรู้ทักษะใหม่ และรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานไว้
- ทัศนคติเชิงบวก (Positive Attitude) มองโลกอย่างเปิดกว้าง และมุ่งเน้นที่โอกาสมากกว่าที่อุปสรรค
ด้วยการทำความเข้าใจในประเภทต่างๆ ของแรงกดดันในที่ทำงาน และการนำแนวทางการจัดการ ตลอดจนเทคนิค วิธีการ และข้อแนะนำเหล่านี้ไปปรับใช้ ทุกคนจะสามารถจัดการกับแรงกดดันในที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเครียด และเปลี่ยนมันให้เป็นพลังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตส่วนบุคคลและเพิ่มผลผลิตขององค์กรได้ในที่สุด
ค้นหาหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
💡 Productivity Mindset (การสร้างความตระหนักเพื่อเพิ่มผลิตภาพ) 👉 คลิก
💡 Power up Positive Thinking (เพิ่มศักยภาพการทำงานด้วยความคิดบวก) 👉 คลิก
💡 Strengthfinder® for Self Development + Action 2 Achieve 👉 คลิก