ปี พ.ศ. 2556 ศ.เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย กล่าวถึงข้อมูลจาก UNDP ว่าประเทศไทยใช้งบประมาณด้านการศึกษามากเป็นอันดับสองของโลกแต่คุณภาพการศึกษาอยู่อันดับที่ 88 ของโลก และอันดับ 8 ของอาเซียน ดัชนีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อยู่อันดับที่ 84 ของโลก
ปี 2558 ป้ามล บ้านกาญจนาฯ หรือ คุณทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก ได้ให้ข้อมูลว่าในแต่ละปีเด็กและเยาวชนทำความผิดถูกจับกุมจำนวนถึง 30,000-50,000 คนต่อปี ในจำนวนนี้ 70% เป็นเด็กที่ต้องออกจากระบบการเรียน
ปี 2559 สถาบันอนาคตไทยศึกษานำเสนองานวิจัย “โอกาสที่หายไป : 12 ข้อเท็จจริงการศึกษาไทย” ในงานสัมมนา “Thailand Strategic Giving : Changing Tomorrow through Philanthropy” แสดงให้เห็นว่า 16 ปีที่ผ่านมาของการปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้เกิดค่าเสียโอกาสที่ประเทศควรจะได้รับประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท หรือกว่า 11% ของจีดีพี โดยตัวเลขค่าเสียโอกาสที่คำนวณได้นั้น เกิดจากการเปรียบเทียบประเทศที่ปฏิรูปการศึกษาสำเร็จ ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่าการศึกษามีปัญหาทุกระดับ พัฒนาการเด็ก 1 ใน 5 จะต่ำกว่าเกณฑ์ เด็กประถมอ่านไม่ออก 1.4 แสนคน และเขียนไม่ได้ 2 แสนกว่าคน ขณะที่มัธยม 32% อ่านจับใจความไม่ได้
เด็ก 6 ใน 10 เท่านั้นที่เรียนจบมัธยมศึกษา อีกทั้งโรงเรียนที่มีคะแนนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ในอันดับ 50 ของประเทศ 34 แห่งส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ เด็กต่างจังหวัด มีเพียง 20% ที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้
นอกจากนั้นยังมีข้อมูลจาก พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีที่กล่าวถึงปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่นไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พบว่าวัยรุ่นต่ำกว่า 20 ปีคลอดบุตรเพิ่มขึ้นจาก 90,000 คน ในปี 2543 เป็น 104,289 คน ในปี 2558
เป็นเวลามากกว่า 10 ปีที่องค์กรธุรกิจในประเทศไทยมีการดำเนินการในเรื่อง CSR และประเด็นการศึกษาดูเหมือนจะได้รับความสนใจมากที่สุดทั้งที่เป็นธุรกิจข้ามชาติ และธุรกิจไทยรายใหญ่ๆ เห็นได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ และการนำเสนอในเวทีสาธารณะ ถ้าถามถึงความสำเร็จของการดำเนินการ แน่นอนว่ามีตัวเลขสวยๆ มายืนยันความสำเร็จขององค์กรอย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่ปัญหาการศึกษาไทยกลับอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง เพราะหมายถึงคุณภาพทุนมนุษย์ของประเทศไทยในอนาคตเราจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนคนวัยทำงานน้อยลง และในจำนวนนี้ดูเหมือนว่าส่วนหนึ่งเป็นผลผลิตที่ด้อยคุณภาพอีกด้วย ตามที่นักวิชาการ TDRI เคยวิเคราะห์ไว้หลายปีก่อน
นั่นเป็นเพราะการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุดใช่หรือไม่ จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าปัญหาด้านการศึกษามีความซับซ้อนที่เกี่ยวโยงไปถึงปัญหาสังคมหลายประเด็น องค์กรธุรกิจที่เลือกประเด็นด้านการศึกษาขึ้นมาทำอาจมองไม่เห็นหรือไม่กล้าจับประเด็นเหล่านี้ เพราะมักจะเลือกทำกิจกรรมด้านการส่งเสริมมากกว่าที่จะพยายามร่วมแก้ปัญหา ซึ่งง่ายในการดำเนินการมากกว่า
คำถามก็คือ การทำ CSR ที่ลงทุนไปกับงบประมาณจำนวนมากในแต่ละปี แต่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้ จะถือว่าเป็นการสูญเปล่าหรือไม่
ความด้อยคุณภาพของทุนมนุษย์มีผลต่อการดำเนินธุรกิจแน่นอน ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่ CSR จะกำหนดเป้าหมายในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้ยินมาว่า ในงานสัมมนา “Thailand Strategic Giving : Changing Tomorrow through Philanthropy” มีการพูดถึงประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะคุณอานันท์ ปันยารชุณที่กล่าวว่า “เราบริจาคกันแบบกระจัดกระจาย ให้แบบไม่หวังจะแก้ไขปัญหา ไม่สนใจที่ติดตามดูผล”
ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเราทำมากแต่ได้น้อย และยิ่งได้น้อยไปอีกเมื่อต่างคนต่างทำในปัญหาเดียวกัน แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจกับผลลัพธ์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
ถึงเวลาที่องค์กรธุรกิจต้องกลับมาทบทวนการทำ CSR กันอีกครั้ง ไม่ว่าจะทำมากหรือทำน้อย เพราะสังคมกำลังรอคอยการเปลี่ยนแปลง
ที่มา : คอลัมน์ CSR Talk หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ