ถามผู้อ่านกันตามหัวเรื่องนะครับว่า คิดว่ารู้จักการใช้กราฟดีแล้วหรือยัง การใช้กราฟในที่นี้คือทั้งการเป็น ”คนเขียนกราฟ” และเป็น “คนอ่านกราฟ” ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่บางทีเรามองข้าม กราฟช่วยในการแปลงข้อมูลตัวเลข ให้อยู่ในรูปที่สามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม มีความผิดพลาดพื้นฐานในการเขียนกราฟที่มักพบบ่อย ๆ เช่น
– ไม่มีหัวข้อ ว่านี่เป็นกราฟข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องอะไร
– ไม่มีคำบรรยายว่าข้อมูลแกนนอน คืออะไร ข้อมูลแกนตั้ง คืออะไร
– ไม่มีข้อมูลหน่วย หรือว่าไม่ชัดเจน
– มีกราฟหลายเส้นมากเกินไปซ้อนทับกัน จนดูยาก ไม่เข้าใจ
– กำหนดช่วงของข้อมูล (Scale) ไม่เหมาะสม ทำให้อ่านข้อมูลยาก
– การใช้สีกลืนกันไปจนไม่เห็นความแตกต่าง หรือในทางตรงกันข้ามใช้มากเกินไปจนเปรอะ ไม่เข้าใจจุดสำคัญในการนำเสนอของกราฟ
ลองดูกราฟข้างล่างนี้ครับ ผมดัดแปลงมาจากภาพกราฟที่ได้ไปเห็นมาในองค์กรแห่งหนึ่ง เป็นข้อมูลปริมาณการใช้ไฟฟ้าในโรงงาน เพราะองค์กรมีนโยบายในการประหยัดพลังงาน ผมจะนำมาเป็นกรณีศึกษากัน ลองตั้งกระทู้ก่อนจะอ่านต่อไปนะครับว่า เห็นอะไรจากกราฟรูปนี้บ้าง มีแง่มุมอะไรในการคิดวิเคราะห์ต่อไป และจะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง
1. เพิ่มหน่วย ปรับสี และ รูปแบบกราฟ
หน่วย กิโลวัตต์-ชั่วโมง ถูกระบุเพิ่มเข้าไปในกราฟจากกราฟที่ไม่ระบุหน่วย รูปต้นฉบับใช้สีน้ำเงินและเขียวเพื่อแยกข้อมูลในแต่ละปี แต่เมื่อพิมพ์ออกมาเป็นสีขาวดำแล้ว จะไม่เห็นความแตกต่าง ในการปรับปรุงขั้นนี้จะใช้สีขาวดำ แต่ใช้แยก 2 ข้อมูลด้วยน้ำหนักสีที่แตกต่างกัน เพื่อให้ดูกราฟด้วยภาพขาวดำได้
ในรูปตั้งต้น เป็นกราฟแท่ง แม้ว่าสามารถเห็นภาพรวมของการขึ้นลงของการใช้ไฟได้ แต่หากวัตถปุ ระสงค์คือการเปรียบเทียบเดือนเดียวกันในปีปัจจุบันและปีก่อนหน้า และถามว่า เดือนไหนใช้ไฟมากกว่าปีก่อนจะดูยาก การปรับมาเป็นกราฟเส้นจะทำให้เห็นได้ง่ายกว่า
จากกราฟพบว่าในเดือน เม.ย, ก.ค., และ พ.ย. ในปีนี้มีปริมาณการใช้ไฟมากกว่าปีก่อนหน้า ในที่นี้ ใส่วงกลมเพิ่มเข้าไปในกราฟ เพื่อเน้นว่าเป็นเดือนที่ปริมาณสูงกว่าปีก่อน
2. ปรับช่วงข้อมูลบนกราฟ (Scale)
เมื่อสังเกตข้อมูลกราฟแล้วจะพบว่า ข้อมูลวิ่งอยู่ในช่วง 400-600 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ดังนั้นเพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวของข้อมูลให้ชัดขึ้น เราสามารถปรับช่วงข้อมูล เพื่อแสดงข้อมูลเฉพาะในช่วงที่ต้องการ
3. ปรับตัวชี้วัด
เมื่อดูเส้นที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ในแต่ละเดือนเปรียบเทียบกัน พบว่าทั้ง 2 ปี มีข้อมูลที่เหมือนกันคือ เดือน เม.ย. และ ธ.ค. จะมีการใช้ไฟฟ้าที่น้อยกว่าเดือนอื่น ๆ และเมื่อเทียบกับเดือนที่ใช้สูงสุดคือเดือน ส.ค. ก็พบว่าทั้งเดือน เม.ย. และ ธ.ค.ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าเดือน ส.ค.ถึงประมาณ 30% คำถามที่จะวิเคราะห์ต่อไป คือ ทั้ง 2 เดือนนี้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดจริงหรือไม่
ข้อสันนิษฐานของสาเหตุหนึ่งคือ ความแตกต่างนั้น มาจากปริมาณผลผลิตที่ไม่เท่ากันในแต่ละเดือนหรือไม่ สังเกตได้อีกว่าทั้งเดือนเม.ย. และ ธ.ค. เป็นเดือนที่มีวันหยุดหลายวัน ดังนั้นการวัดเพียงปริมาณไฟฟ้าจึงอาจไม่สามารถบอกได้ถึงประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
การปรับปรุงที่ทำได้ คือ เก็บข้อมูลผลผลิตเพิ่มเติม แล้วนำมาคำนวณเทียบด้วย จะว่าไปแล้ว นี่คือแนวคิดของการวัดผลิตภาพหรือ Productivity โดยการเทียบระหว่าง Input และ Output นั่นเอง ในกรณีนี้ Input คือไฟฟ้าที่ใช้ และ output คือ ปริมาณผลผลิต ตัวชี้วัดจะถูกปรับไปเป็น ปริมาณการใช้ไฟฟ้าต่อผลผลิต คำนวณโดย
= ปริมาณไฟฟ้า (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)
. ปริมาณผลผลิต (ตัน)
จะเห็นได้ว่าการแปลความข้อมูล เปลี่ยนไปทันทีในทิศทางตรงกันข้าม จากที่เคยคิดว่า ในปีนี้การใช้ไฟฟ้าลดลง แต่เมื่อนำมาคำนวณเทียบกับสินค้าที่ผลิต กลับปรากฏว่า การใช้ไฟฟ้าในปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าเดือนเดียวกันในปีก่อนเกือบทุกเดือน รวมทั้งเดือนเม.ย. และ ธ.ค. ไม่ได้มีการใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดือนอื่น ๆ อย่างที่คิด
4. ปรับ Format และ เพิ่มข้อมูลในกราฟ
การปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถอ่านกราฟได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก ทำได้ ดังนี้
• ใช้สี เส้นประ และความเข้ม เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างข้อมูลทั้ง 2 ปีให้ชัดเจนขึ้น โดยใช้ปีปัจจุบันเป็นเส้นทึบ ข้อมูลปีก่อนหน้าใช้เป็นเส้นประเพื่อใช้เทียบเคียง และแยกคนละสีระหว่างทั้ง 2 ปีนี้
• เพิ่มข้อมูลค่าเฉลี่ยในปีก่อน 47.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตัน เพื่อเป็นค่าอ้างอิง
• กำหนดเป้าหมายการปรับปรุงของปีปัจจุบันเป็น 47.0 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตัน ลากเส้นเป็นประ ทำให้เห็นได้ง่ายว่ามีเพียง 3 เดือนเท่านั้นในปีนี้ ที่ได้ตามเป้าหมายคือเดือน ก.พ., พ.ค.,และ พ.ย.
ดังได้กล่าวแล้วว่า ประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าในปีนี้ นอกจากไม่ดีขึ้นแล้วยังต่ำลงด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากกราฟคือ “ความผันแปร” หรือการแกว่งตัวของข้อมูล การใช้ไฟฟ้าที่ต่ำสุดในปีนี้ประมาณ 45 แต่ค่าสูงสุดนั้นขึ้นไปถึงมากกว่า 51 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ตัน หรือต่างกันมากกว่า 10% ทำให้สามารถนำไปเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ต่อไปได้ว่า เกิดจากสาเหตุอะไร และวางมาตรการเพื่อการปรับปรุงต่อไป
ขอสรุปส่งท้ายในบทความนี้ครับว่า แม้ว่าการเขียนกราฟจะเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างไรก็ตามมีรายละเอียดหลายอย่างให้น่าศึกษา เพื่อให้การ “มองเห็น” ข้อมูล หรือ ที่เรียกกันว่า Visual Management นั้น สามารถ
นำไปสู่ความเข้าใจและการจัดการได้อย่างเหมาะสมครับ
Tips ในการเขียนกราฟ
1. ชื่อกราฟ – กราฟต้องมีชื่อกำกับไว้เสมอว่าเป็นข้อมูลอะไร กรณีเป็นข้อมูลในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง สามารถเขียนบอกในชื่อกราฟได้เลย เช่น “อัตราของเสียรายเดือนปี XXXX” และควรจะมีขนาดที่ใหญ่พอที่ผู้อ่านจะสามารถเห็นได้โดยง่าย ชื่อกราฟควรเป็นจุดเด่นแรกสุดของกราฟ
2. คำบรรยายแกน X แกน Y – ทั้งสองแกนต้องมีคำอธิบายระบุไว้เสมอ ว่าคือข้อมูลหรือตัวชี้วัดอะไร และ หน่วยที่ใช้คืออะไร เพื่อป้องกันผู้อ่านแปลความผิด
3. การเลือกตัวชี้วัด (Indicators) – ตัวชี้วัดที่เหมาะสมควรเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของหน่วยงานนั้น ๆ
4. กำหนดช่วงข้อมูล (Scale) ที่เหมาะสม – การเลือกค่าน้อยทีสุด และมากที่สุดในสเกลบนกราฟ ส่งผลให้การอ่านข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น เส้นในกราฟ (Grid Line) ไม่เด่นบดบังข้อมูลที่ต้องการนำเสนอ กรณีเขียนกราฟ 2 แกน การเลือกสเกลที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้การอ่านค่าความสัมพันธ์ของ 2 ข้อมูลผิดพลาดได้
5. เป้าหมาย – กราฟควรแสดงค่าเป้าหมาย หรือค่าเทียบเคียง เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ทันที ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามที่ต้องการหรือคาดหวังหรือไม่ ข้อมูลเป้าหมายควรเขียนด้วยเส้นประ
6. การเลือกประเภทกราฟ – รูปแบบของกราฟ ควรตอบโจทย์สิ่งที่จะนำเสนอ หลักการโดยทั่วไปเช่น กราฟเส้นมักแสดงข้อมูลหรือแนวโน้มในช่วงเวลาหนึ่ง กินพื้นที่กราฟไม่มากทำให้เขียนข้อมูลเพิ่มเติมได้ง่าย กราฟแท่งใช้แสดงความแตกต่างเชิงปริมาณ ของกราฟแต่ละแท่ง สามารถแสดงข้อมูลหลายแท่งซ้อน ๆ กันได้ กราฟวงกลม หรือกราฟเข็มขัด ใช้แสดงสัดส่วน
7. การบันทึกคำอธิบายเพิ่มเติม – ข้อมูลที่มีความผิดปกติ หรือเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ควรเขียนคำอธิบายกำกับไว้ในรูปกราฟด้วย เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันที