การเข้าสู่ Digital Economy ทำให้รูปแบบในการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตัวอย่างธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน คือ ธุรกิจรถยนต์ ซึ่งเมื่อ 5 ปีที่แล้วยังไม่มีองค์ประกอบใดในรถที่เป็นชิ้นส่วนดิจิทัล แต่ทุกวันนี้ เรากลับพบว่า Google ได้กระโดดเข้ามาสู่วงการรถยนต์ ส่วน Apple ก็กำลังพยายามหาทางสร้างรถยนต์ให้สำเร็จในอีกไม่กี่ปี ดังนั้น จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่า ในทศวรรษหน้าจะมีธุรกิจดิจิทัลอีกเป็นจำนวนมากที่ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ ซึ่งนอกจากอุตสาหกรรมรถยนต์แล้ว Google และ Apple ยังกลายเป็นคู่แข่งของบริษัท Honeywell โดยเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ภายในที่พักอาศัย เช่น การควบคุมอุณหภูมิและแสงไฟโดยใช้ระบบดิจิทัล อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า Digital Economy ส่งผลกระทบให้รูปแบบการแข่งขันในปัจจุบันเปลี่ยนโฉมไปอย่างที่ธุรกิจส่วนใหญ่ใน 5 ปีที่แล้วคาดคิดไม่ถึง Dr. Vineet Kumar ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย Yale ได้วิเคราะห์รูปแบบธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านดิจิทัลว่า มีความแตกต่างกันอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
- ธุรกิจดิจิทัลที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Native Business) โดยใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น Drop Box ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเชื่อมต่อและแชร์ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ระหว่างคนจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในโลกอนาล็อก แต่สามารถทำให้เป็นจริงได้ในโลกดิจิทัล
- ธุรกิจดิจิทัลที่ทำลายธุรกิจเดิม (Digital Destructor) โดยให้ข้อเสนอที่ดีกว่าและสะดวกกว่าแก่ลูกค้าเพื่อแทนที่ธุรกิจเดิม ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ Travel Agent ซึ่งถูกแทนที่ด้วย Expedia หรือ Orbitz ด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างและส่งมอบผลิตภัณฑ์/บริการที่รวดเร็วกว่า
- ธุรกิจดิจิทัลที่ส่งเสริมธุรกิจเดิม (Digital Complementor) โดยหาคู่ความร่วมมือและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรมีอยู่แล้ว และสร้างธุรกิจใหม่ที่อำนวยความสะดวกและสร้างให้เกิดคุณค่าแก่ลูกค้ามากขึ้น เช่น GrubHub ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถคลิกสั่งอาหารจากร้านอาหารและเลือกได้ว่าจะไปรับเองหรือให้คนมาส่งให้ก็ได้ ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่ไม่เข้าไปก้าวก่ายร้านอาหาร แต่ใช้กลไกเดิมช่วยส่งเสริมและเพิ่มคุณค่าแก่ลูกค้า
Digital Economy ทำให้หลายอุตสาหกรรมเริ่มมีการติดต่อหรือร่วมมือกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคก่อนหน้า Tim Cook ( CEO ที่รับช่วงต่อจาก Steve Jobs) เคยกล่าวว่า Apple กำลังสร้างเครือข่ายกับกลุ่มธุรกิจ Healthcare มากขึ้น ซึ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้ช่วยเฉพาะงานวิจัยด้านยาเท่านั้น แต่ยังจะพลิกโฉมประสบการณ์ของผู้ป่วย และเพิ่มคุณค่าให้อุตสาหกรรมดังกล่าวมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ Social Networking ก็เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อธุรกิจในยุค Digital Economy เช่นกัน บทบาทของ Social Networking ไม่ได้เพียงทำให้เกิดตัวอย่างคลาสสิกอย่าง Facebook หรือ LinkedIn เท่านั้น แต่ยังมี Uber ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างคนขับและผู้โดยสาร ยังมี Task Rabbit ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อลูกค้ากับคนที่เชี่ยวชาญ/มีทักษะ เช่น ช่างประปา คนทำความสะอาด บาร์เทนเดอร์ ฯลฯ และยังมี Airbnb ซึ่งเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างเจ้าของบ้านและนักท่องเที่ยวให้สามารถเลือกพักอาศัยในบ้านพักตากอากาศ อพาร์ทเมนท์ ห้องพักของคนท้องถิ่นในกว่า 190 ประเทศได้
หลังจากนี้ ยังจะมีนวัตกรรมทางธุรกิจเกิดขึ้นอีกจำนวนมากใน Digital Economy และด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีจะทำให้ธุรกิจแบบ Business to Business ขยายตัวขึ้นอย่างมากในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คุณค่าที่เพิ่มขึ้นจากการสร้างเครือข่ายธุรกิจจะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ / บริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น ดังนั้น ความสามารถในการเชื่อมโยงเทคโนโลยีและความเข้าใจเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคจึงเป็นทักษะสำคัญที่ธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมี ดังนั้น การสร้างรายได้ระดับล้านล้านจึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป
ข้อมูลจาก
https://agenda.weforum.org/2015/04/what-trends-are-shaping-the-digital-economy/