ในแวดวงธุรกิจอุตสาหกรรมไทยนั้น เมื่อเอ่ยถึงบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ( มหาชน ) หรือ กลุ่ม SCG คนส่วนใหญ่จะเห็นภาพองค์กรสัญชาติไทยแท้ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพที่เป็นเลิศ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า มีธรรมาภิบาลสูง ได้รับความเชื่อใจและไว้วางใจสูงจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจนสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง แข็งแรงยาวนานถึง 100 ปี แต่ความโดดเด่นของ SCG มิได้มีเพียงแค่นั้นเพราะ SCG ยังได้รับการยอมรับอย่างสูงในระดับอาเซียนและระดับโลก ในแง่ของการเป็นองค์กรที่ไม่ยึดติดกับความสำเร็จ แม้จะได้รับรางวัลด้านการบริหารจัดการมามากมายนับไม่ถ้วน แต่องค์กรก็ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องจนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำในเรื่องนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จสูงในเชิงธุรกิจ
การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในเชิงธุรกิจของ SCG แม้จะประสบความสำเร็จมากแต่ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดขององค์กร เพราะแก่นแท้ของการบริหารจัดการที่SCG ให้ความสำคัญอย่างแท้จริงนั้น คือ การเป็นองค์กรธุรกิจที่มีความยั่งยืน ซึ่งองค์กรมีกรอบการพัฒนาสู่ความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลที่ดีเพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่สอดคล้องกันในทุกธุรกิจ ซึ่งคอลัมน์ interview ฉบับนี้ เราได้รับเกียรติจาก คุณ ชลธร ดำรงศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาความเป็นเลิศและความยั่งยืน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ( มหาชน ) มาเล่าถึงมุมมองต่าง ๆ ทั้งในเรื่องหลักคิด หลักทำ วิถีปฏิบัติและปัจจัยสู่ความสำเร็จของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
พัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท
สำหรับธุรกิจอุตสาหกรรมในบ้านเราแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นอาจจะเพิ่งคุ้นหูและได้ยินได้ฟังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ SCG นั้นมีรากฐานเรื่องดังกล่าวที่แข็งแกร่งตั้งแต่แรกก่อตั้ง คุณชลธรเล่าให้ฟังว่า
“เราดำเนินการเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนตั้งแต่วันที่เริ่มก่อตั้งบริษัท ซึ่งเป็นพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า ซึ่งปูนซีเมนต์เป็นวัสดุก่อสร้างที่สำคัญในการพัฒนาประเทศในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านเรือน ถนนหนทางก็ต้องใช้ปูนซีเมนต์เป็นหลัก ในตอนนั้นประเทศเราต้องนำเข้าปูนซีเมนต์ 100% พระองค์ท่านจึงมีพระราชดำริว่าเราต้องตั้งบริษัทผลิตซีเมนต์ขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกที่จะใช้ในการพัฒนาประเทศ วัตถุประสงค์ในการก่อตั้งของบริษัทเราจึงชัดเจนว่า ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาประเทศและต้องการทำให้พระราชปณิธานของพระองค์ท่านประสบผลสำเร็จ ดังนั้น พนักงานจึงรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำงานเพื่อบริษัทที่จะทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ทำเพื่อสร้างชาติ สร้างความเป็นเลิศ สร้างผลิตภัณฑ์ที่ดี
นอกจากนี้ ในมุมของสังคมเราก็ต้องการช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนในด้านต่างๆ ด้วย ในมุมของการบริหาร เราก็ทำงานด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริหารทุกคนถูกปลูกฝังรุ่นต่อรุ่นมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ทุกคนที่เข้ามาทำงานจะมีจิตวิญญาณที่มุ่งมั่น ถ่ายทอดถึงกันจากการปฏิบัติ จนกระทั่งบริษัทดำเนินการมาถึง 72 ปี คนทำงานก็เยอะมากขึ้น การถ่ายทอดแบบเดิมอาจจะได้ผลน้อยลง จึงเริ่มต้องมีแนวทางให้ปฏิบัติซึ่งเป็นที่มาของอุดมการณ์ในการดำเนินธุรกิจที่เรียกว่า “ ปรัชญาพื้นฐานอุดมการณ์ 4 ประการ ” คือ ตั้งมั่นในความเป็นธรรม มุ่งมั่นในความเป็นเลิศ เชื่อมั่นในคุณค่าของคน ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งทั้ง 4 ข้อนี้จะเห็นได้ว่าล้วนอยู่ในบริบทของการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งสิ้น คุณ ชลธร ยังขยายความต่อให้ฟังว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นต้องฝังอยู่ในทุกมิติของการทำธุรกิจ โดยเริ่มต้นจากการดำเนินการภายในองค์กรให้เข้มแข็งก่อนที่จะไปสู่ภายนอก สิ่งที่จะต้องทำให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม มีดังนี้
1. ต้องดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส ไม่ทุจริต ต้องมีระบบที่มั่นใจได้ว่าจะไม่โกง ตั้งแต่เรื่องจรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ บรรษัทภิบาล และโครงสร้างต่างๆ ในการทำงาน
2. การดูแลพนักงานในเรื่องความเป็นธรรม ตั้งแต่ ระบบการดูแล การเติบโต ผลตอบแทน สวัสดิการเรื่องการสร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน ความปลอดภัย รวมถึงเรื่องการพัฒนาและการฝึกอบรมให้องค์ความรู้ต่างๆ
3. สินค้าและบริการ ตั้งแต่การดูแลกระบวนการผลิตไม่ให้เกิดมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสังคมและคนรอบข้าง และดูแลเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่ทำลายทรัพยากร และแสวงหาวิธีอนุรักษ์หรือฟื้นฟูเพื่อให้ทรัพยากรคงอยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
4. การดูแล supplier ให้มีนิสัยและพฤติกรรมที่ดีเหมือนกับบริษัท โดยให้ความสำคัญและดูแลทุกคนเท่าเทียมกันเพื่อให้เติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัท และเมื่อบริษัทมีกำลังพอสมควรก็ต้องไปดูแลสังคมที่อยู่รอบข้าง ชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับโรงงาน ช่วยเหลือให้เขาเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกัน ไปช่วยสร้างองค์ความรู้และมีกระบวนการต่างๆ ที่จะช่วยให้เขาสามารถดูแลตัวเองให้เข้มแข็งเพื่อให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน
สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เรามีธุรกิจนี้ทำไม เราทำธุรกิจเพื่ออะไร คำตอบที่ว่าทำธุรกิจเพื่อกำไรนั้นใช่แน่หรือเปล่า
ผู้นำคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
การนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาดำเนินการให้ประสบผลสำเร็จนั้น ต้องทำอย่างมีกลยุทธ์ ฝังอยู่ในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ และอยู่ในจิตสำนึกในการทำงานของพนักงานทุกคน ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ ผู้บริหาร คือ หัวใจสำคัญที่สุดที่จะผลักดันให้เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม คุณชลธรกล่าวว่า “ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่พี่ ๆ หรือผู้บริหารเป็น Role Model เอง Leader ทุก Level ต้องเป็น Role Model ต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่างเพื่อให้เกิด Impact และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้จริงๆ เช่น ถ้าพูดถึงการปฏิบัติงานในโรงงาน เราก็ต้องดูแลทรัพยากรในโรงงาน เมื่อมีการใช้พลังงานมากก็ต้องหาวิธีช่วยลดปัญหาโลกร้อน ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ต้องกำหนดกลยุทธ์หรือแผนงานที่จะใช้เชื้อเพลิงที่ขุดมาใช้ให้น้อยลง พยายามหาวิธีการนำของเหลือมาใช้งานหรือใช้ใหม่ หรือหาวิธีการนำวัสดุธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน เป็นต้น
เมื่อทิศทางและกลยุทธ์ชัดว่าบริษัทให้ความสำคัญกับแต่ละเรื่องอย่างไร ก็ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ทำไมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ให้ประโยชน์แก่ใคร ทำแล้ว Support ใครบ้าง และสุดท้ายใครได้ประโยชน์อะไร ผู้บริหารต้องสื่อสารให้เข้าใจทั้งในและนอกองค์กรตลอดจนถึงชุมชนและสังคม ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละองค์กร อย่าง SCG สังคมจะให้ความคาดหวังสูง ให้ความเชื่อถือและไว้วางใจสูงจึงมีต้นทุนทางสังคมสูงเราก็ต้องตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคมได้ด้วย
คุณชลธรยังให้ข้อคิดแก่บริษัทต่าง ๆ ที่สนใจจะนำแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาดำเนินการในองค์กรว่า
“หลักสำคัญ คือ ต้องตั้งหลักจากคนที่เป็นผู้นำก่อน คือ เราอาจตอบได้ว่าเรากำลังทำอะไร เรารู้ว่าจะทำให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้าได้อย่างไร จะผลิตสินค้าอย่างไร จะเลือกคนอย่างไร เราอาจรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด จะรู้มากรู้น้อยก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า เรามีธุรกิจนี้ทำไม เราทำธุรกิจเพื่ออะไร คำตอบที่ว่าทำธุรกิจเพื่อกำไร นั้นใช่แน่หรือเปล่า ถ้าเราทำธุรกิจเพื่อกำไร เพื่อเงินอย่างเดียวแล้ว เราอาจจะทำอะไรก็ได้ โกงก็ได้เพื่อให้ได้เงิน แล้วเงินเป็นความสุขสุดท้ายจริงหรือเปล่า บางครั้งทำแทบตายอาจจะไม่มีความสุขจริงๆ ก็ได้ อย่าง SCG ก็ชัดเจนตั้งแต่ก่อตั้งแล้วว่าเราทำเพื่ออุดมการณ์ 4 ข้อซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ บริษัทที่ต้องการจะทำเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้น ไม่ควรทำตามบริษัทอื่นเพียงแต่ไปศึกษาปัจจัยต่างๆ ว่าเขาทำได้อย่างไรแล้วก็กลับมามองบริบทของตนเอง ทำตามกำลังความสามารถของเรา ไม่จำเป็นต้องทำทุกเรื่องก็ได้ หมายความว่าเมื่อทำทุกเรื่องตามมาตรฐานแล้วค่อยมาดูว่ามีเรื่องหลักๆ อะไรบ้างที่จะทำให้องค์กรสามารถพัฒนาเรื่องนี้ได้ จากนั้นค่อยเลือกทำเรื่องนั้นให้เกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด ไม่ต้องทำทุกเรื่องพร้อมกันแต่ต้องทำเรื่องพื้นฐานให้ดีเสียก่อน ถ้าทำเรื่องพื้นฐานได้ประสบความสำเร็จแล้วก็ถือว่าบริษัทของคุณเริ่มมีแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน แล้ว
พัฒนาอย่างยั่งยืนเริ่มที่ตัวเราก่อน
ก่อนจบ คุณชลธรให้ข้อคิดสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ว่า “ ถ้ามองบริษัทเป็นบุคคล เราต้องเชื่อก่อนว่าสังคมเราจะเป็นสุข จะยั่งยืนได้ เราก็ต้องมีความปิติเกิดขึ้นหลังจากสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราทำออกไปต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีคุณธรรม จริยธรรม และคิดทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล ตอบคำถามในสิ่งที่ตนเองทำลงไปว่าถูกหรือผิด มีความเป็นธรรม มีความยืดหยุ่นกับคนที่เกี่ยวข้องแม้กระทั่งคนในครอบครัว นอกจากนี้ ต้องเปิดใจรับฟังคนรอบข้างว่าเขาคิดอย่างไรไม่ใช่เอาตัวเองตัดสินทุกเรื่อง เมื่อฟังทุกคนด้วยความเข้าใจแล้วเราจะเข้าใจถึงที่มาว่าเขาต้องการอะไร ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ เมื่อเราเข้าถึงแก่นวิธีคิดของเขาเราจึงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง เมื่อเราเข้าใจคนมากขึ้นก็จะเกิดการเอื้ออาทรกัน มี Engagement กันต่อไปได้ทุกเรื่องซึ่งก็จะเอื้อให้เกิดความยั่งยืนในการทำธุรกิจได้
นอกจากนี้ การจะทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในสังคม เราต้องคำนึงถึงเรื่องของการใช้ชีวิตของตนเองด้วย คือ ไม่ใช่คิดว่า เรามีความสามารถ เรามีเงิน จะทำเพื่อตอบสนอง Need ของเราอย่างไรก็ได้ เช่น วันนี้เราซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้วพรุ่งนี้ไม่พอใจก็เปลี่ยนมือถือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อสังคมทั้งหมดในภาพใหญ่ การบริโภคสิ่งต่าง ๆ ต้องใช้อย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่บริโภคแบบไร้ขอบเขต ต้องเอาวัตถุประสงค์ของการใช้งานเป็นตัวตั้งไม่ใช่เอาความสามารถในการเข้าถึงเป็นตัวตั้ง ทั้งหมดคือจุดเล็ก ๆ ที่สามารถต่อกลายเป็นภาพใหญ่ซึ่งจะทำให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างสมดุล มีความสุขร่วมกันและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน